รีวิว Hai di lao สาขา Cental World ประเทศไทย, เมนู, ราคา และการจองคิว

รีวิว Hai di lao (ก่อนหน้านี้คนไทยหลายคนอ่านว่า ไฮไดเหลา แต่จริงๆ แล้วเอกสารของทางร้านอ่านว่า “ไห่ตี่เลา” นะครับ) เป็นร้านชาบูฮ็อตพอตสัญชาติจีนที่เพิ่งมาเปิดสาขาแรกที่ประเทศไทย ในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 7 ซึ่งเมื่อเอ่ยถึงชื่อร้านนี้ นอกจากเรื่องความดังและคุณภาพของวัตถุดิบอาหารแล้ว หลายคนจะคิดถึงว่าเป็นร้านที่ต้องรอคิวในการกินนานนนนน มาก (บางคนรอ 4-6 ชั่วโมงเลยก็มี!) แต่การรอนั้นต้องบอกเลยว่าไม่เสียเปล่าจริงๆ เพราะระหว่างรอจะมีขนมมาให้ทานแก้เบื่อ และมีกิจกรรมต่างๆ ให้ทำมากมายจนแทบไม่ได้รู้สึกเบื่อเลย …ในโพสต์นี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์การไปทาน Hai di lao สาขา Cental World มาฝากครับ

ข้อมูลร้าน Hai di lao สาขา Cental World

  • อยู่ชั้น 7 โซน Isetan
  • เปิดบริการ 10:00 น. – 03:00 น.

ก่อนจะไปผมก็ทำการบ้านมาเล็กน้อยครับ ว่าทำยังไงถึงจะให้รอคิวไม่นาน ได้สรุปคร่าวๆ ว่า ถ้าอยากได้คิวเร็วๆ ให้ไปให้ทันรับ 100 คิวแรกตั้งแต่ตอนห้างเปิด! เพราะร้านนี้เขาจะแจกบัตรคิววันละ 2 ช่วงเท่านั้น คือ ตอน 10:00 น. (ห้างเปิด) และตอน 16:00 น. ช่วงละ 100 คิว

ผมนั่งรถไฟฟ้า BTS ไปลงสถานีชิดลมตอน 09:50 น. กว่าจะเดินออกจากสถานีมาที่ประตูทางเข้าห้างฝั่ง Isetan (ฝั่งเดียวกับที่ติดกับห้างแพลทินั่ม) ก็ราวๆ 09:55 น. เรียกว่ามาได้พอดิบพอดีก่อนห้างเปิดเล็กน้อย สังเกตที่ประตูทางเข้ามาคนมารอพอสมควร แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มารอ Hai di lao หรอก…

สำหรับคนที่กลัวหลงแผนผังบันไดเลื่อนและชั้นต่างๆ ของเซ็นทรัลเวิลด์ แนะนำให้ไปรอที่ประตูลิฟต์ (ไม่ใช่ลิฟต์ตรงกลางห้างนะครับ) ซึ่งอยู่ถัดจากประตูทางเข้าปกติไปอีกนิดครับ มีลิฟต์ให้ขึ้น 6 ตัวเลยทีเดียว (แนะนำให้มาทางนี้ คนน้อย และขึ้นตรงไปที่ชั้น 7 ฝั่งที่ใกล้ที่สุดกับร้านได้ทันทีครับ)

ผมมาถึงร้านตอนนั้นมีคนมารออยู่น้อยมากครับ แต่คนที่วิ่งตามมาข้างหลัง (ซึ่งคาดว่าจะมาทางบันไดปกติกัน) มีอีกเป็นสิบๆ เลยแหล่ะครับ (ดังนั้น เคล็ดที่เหมือนจะไม่ลับของผมก็คือ ให้มาทางลิฟต์นั่นเองครับ!)

มาถึงก็เจอป้ายบอกว่า หากได้คิวที่ 21-40 อาจใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว สาเหตุเพราะ ร้านจะเปิดให้ลูกค้าเข้าไปทานเซ็ตละประมาณ 20 โต๊ะเท่านั้นครับ

ตอนแรกผมก็สงสัยว่าที่ร้านมีโต๊ะน้อยหรอถึงรับได้ทีละ 20 โต๊ะ แต่พอได้เข้าไปจริงๆ ก็พบว่าภายในร้านมีพื้นที่กว้างมากครับ คะเนด้วยสายตาแล้วน่าจะมีอยู่ราวๆ 40-60 โต๊ะเลยทีเดียว แต่ที่เปิดให้เข้าไปทีละ 20 โต๊ะ น่าจะเป็นเพราะทางร้านต้องการดูแลลูกค้าให้ทั่วถึงมากกว่า (คิดดูหากเปิดให้เข้าพร้อมกัน 50 โต๊ะ จะวุ่นวายขนาดไหน…อันนี้พอเข้าใจได้ครับ)

เมื่อจองคิวกับพนักงานแล้ว จะได้รับสลิปบัตรคิว และ SMS แจ้งในโทรศัพท์ของเราด้วยครับ ผมได้คิวที่ 6

พร้อมรับใบเมนูอาหาร เอาไว้ให้ดูคร่าวๆ ก่อนเข้าไปที่ร้านด้วยครับ

ถึงแม้ผมจะได้คิวที่ 6 แต่พนักงานก็ยังไม่ให้ได้เข้าร้านทันทีนะครับ จะเชิญเรามานั่งที่จุดรอคิวก่อน ซึ่งจุดสำหรับรอคิวนั้นก็จะเป็นชุดโต๊ะพร้อมเก้าอี้แบบในภาพครับ

มานั่งได้ไม่นานจะมีพนักงานมาเสิร์ฟน้ำ ขนม ผ้าร้อน และไพ่ UNO สำหรับให้เล่นแก้เหงา

หากน้ำ/ขนมที่พนักงานมาเสิร์ฟยังไม่พอสามารถเดินไปตักเองได้อีกครับ เรียกว่ายิ่งรอนานยิ่งได้กินขนมจนเกือบจะอิ่มเลยทีเดียว ซึ่งน้ำ/ขนมในจุดที่รอคิวนี้ บริการฟรีครับ ไม่มีการคิดเงินใดๆ

 

นอกจากบริการขนมระหว่างรอคิวแล้ว ยังมีบริการทำเล็บ สำหรับคุณผู้หญิงอีกด้วย ซึ่งระหว่างรอสามารถไปจองคิวทำเล็บได้ผ่านแท็บเล็ตครับ

แน่นอนว่าการจองคิวทำเล็บจะมีการส่ง SMS มาแจ้งทางมือถือเช่นเดียวกัน

ผมรอมาเกือบ 10 นาทีแล้ว พนักงานยังไม่เรียกเข้าไปนั่งในร้าน คุณผู้หญิงก็ทำเล็บกันไป สนุกสนาน

อีกสักครู่… พนักงานก็เริ่มกดเรียกคิวเข้าไปทานอาหารทีละคิวๆ (แต่ละคิวเว้นช่วงราวๆ 3-5 นาทีได้ ไม่ได้เรียกติดๆๆ กันนะครับ) จนถึงคิวของผม พนักงานนำแท็บเล็ตมาให้สั่งอาหาร ซึ่งเราจะเป็นคนกดสั่งเองผ่านทางแท็บเล็ตครับ ซึ่งแต่ละโต๊ะจะมีพนักงานคอยดูแลให้แบบใกล้ชิดมากครับ เท่าที่สังเกตุ พนักงาน 1 คนจะดูแลลูกค้าเพียง 2-3 โต๊ะเท่านั้น

 

ระหว่างรอสั่งอาหารก็จะมีผลไม้สดมาเสิร์ฟให้อีก …ฟรีครับ แถมถ้าหมดแล้วสามารถขอหรือเดินไปตักเองได้ด้วย ไม่คิดเงิน

โต๊ะทานอาหารมีจุด Wireless Charger สำหรับใช้ชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สายได้ด้วยครับ

เท่านี้ยังไม่พอ เมื่อพนักงานเห็นว่าผมเอามือถือขึ้นมา ก็นำถุงพลาสติกมาให้ บอกว่าสำหรับป้องกันน้ำซุปหรืออาหารกระเด็นใส่มือถือ พร้อมผ้ากันเปื้อน และถ้าเป็นผู้หญิงผมยาวก็จะมียางมัดผมให้ด้วย

แท็บเล็ตสำหรับสั่งอาหาร มีทั้งภาษาไทย อังกฤษ และภาษาจีน ครับ ซึ่งภาษาไทยบอกตรงๆ ว่าเหมือนยังแปลไม่ค่อยดีเท่าไร บางจุดดูใช้ภาษาขัดๆ แต่โดยรวมแล้วยังพอรู้เรื่องครับ

สั่งอาหารเสร็จแล้ว พนักงานแนะนำให้เดินไปดู/ไปตักน้ำจิ้มกันได้ครับ…

…ก่อนที่จะไปดูน้ำจิ้ม มาทำความเข้าใจคอนเซ็ปสำคัญของร้านนี้กันก่อนครับ ว่า Hai di lao ไม่ใช่ร้านอาหารแบบบุฟเฟต์นะครับ นอกจากน้ำ ขนมและผลไม้ ที่ให้ทานเล่นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างคิดเงินหมดครับ ไม่ว่าจะเป็น น้ำซุปสำหรับที่ใส่ในหม้อชาบู หรือจะเป็นน้ำจิ้ม ล้วนคิดราคาทั้งสิ้น ซึ่งน้ำจิ้มนั้นคิดราคาเหมาที่หัวละ 45 บาทครับ

น้ำจิ้มที่นี่มีให้เลือกผสมเยอะและหลากหลายมากครับ สามารถเลือกผสมและตักได้แบบบุฟเฟต์เลย (หัวละ 45 บาท)

เมื่อได้เห็นวัตถุดิบสำหรับผสมน้ำจิ้มเยอะ ผมไม่รู้จะเลือกอันไหนเลยขอให้พนักงานแนะนำสูตรให้ที พนักงานเลยจัดเป็นน้ำจิ้มสูตร หม่าล่าให้ครับ โดยเลือกวัตุดิบมาดังนี้

จากนั้นราดดับน้ำซุปหม่าล่าไปอีกที กลายเป็นน้ำจิ้ม

รอไม่นาน พนักงานก็นำหม้อชาบู พร้อมน้ำซุปที่เราเลือกมาให้ที่โต๊ะครับ โดยหม้อชาบูมีแบบให้เลือกตั้งแต่ 1-4 ช่องเลยครับ (แต่ละแบบก็จะคิดราคาต่างกันออกไป)

อาหารที่สั่งเริ่มมาส่งแล้วครับ… เริ่มจาก ชุดทะเลรวม 361 บาท

ผ้าขี้ริ้ววัว 200 บาท

เนื้อหมูติดมัน 120 บาท

หมู/เนื้อสไลด์ 65-75 บาท

ราคาเครื่องดื่ม คร่าวๆ

  • น้ำอัดลม กระป๋องละ 28 บาท
  • น้ำเปล่าเย็น ขวดละ 20 บาท
  • น้ำมะพร้าวสด 63 บาท
  • ไวตามิล 23 บาท

ส่วนน้ำเปล่าธรรมดามีบริการให้ฟรีครับ สำหรับคนชอบทานน้ำเย็นไม่มีน้ำแข็งมาให้เริ่มต้นนะครับ ต้องร้องขอพนักงาน (ซึ่งจะไปกดมาให้ฟรีเช่นกัน)

เบียร์

กิมมิกของร้านนี้ แนะนำให้สั่ง “บะหมี่กังฟู” ครับ เพราะตอนนำบะหมี่มาเสิร์ฟ จะนำมาเสิร์ฟกันแบบนี้เลย ราคาบะหมี่ 30 บาท …คุ้มค่าเลยครับ

ทานได้ชั่วโมงกว่าๆ มีการแสดงมาให้ชมด้วยครับ เป็นระบำเปลี่ยนหน้ากาก ศิลปะอันเลื่องชื่อของจีนนั่นเอง …ตื่นตาตื่นใจได้พอสมควรเลยครับ

และเมื่อทานใกล้เสร็จแล้ว (พนักงานที่ดูแลเราจะสังเกตเอง) ก็จะนำไอศครีมมาเสิร์ฟเป็นการตบท้าย ก่อนคิดเงินครับ

ปิดท้ายรีวิวด้วย เมนูราคาอาหารแบบชัดๆ ครับ เผื่อใครดูภาพเล็กๆ ไม่เห็น ผมขยายขนาดมาให้เป็นช่องๆ


ส่งต่อเรื่องนี้ให้เพื่อน!