สรุปข้อมูล iPad Air 2 และ iPad mini 3 มีอะไรใหม่ ?

หลังจากเปิดตัวไปแล้วทั้ง iPad Air 2 และ iPad mini 3 ในตอนนี้ก็จะมาสรุปข้อมูลให้ผู้อ่านได้ทราบกันอีกครั้งครับ ว่า iPad รุ่นใหม่ทั้งสองรุ่นที่แอปเปิลเปิดตัวไป มีอะไรใหม่หรือน่าสนใจบ้าง

iPad Air 2

iPad Air 2 เป็นรุ่นที่พัฒนาต่อจาก iPad Air (1) ตัวแรก มีขนาดจอเท่ากัน คือ 9.7 นิ้ว ดีไซน์โดยรวมคล้ายๆ เดิม แต่ที่แอปเปิลชูเป็นจุดเด่นคือมีขนาดที่บางลง เหลือเพียง 6.1 มิลลิเมตรเท่านั้น

เรื่องของจอภาพของ iPad Air 2 ได้มีการปรับปรุงใหม่ ให้ลดแสงสะท้อนจากภายนอกได้ดียิ่งขึ้น

 

 

ส่วนชิปหรือซีพียูภายในก็ได้ปรับปรุงใหม่ เป็นชิป A8X สถาปัตยกรรม 64 บิต และทำงานร่วมกับชิป  M8 โดยมีประสิทธิภาพในการประมวลผลและแสดงกราฟิกสูงขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ

iPad Air 2 ยังเพิ่มฟีเจอร์สำคัญเข้ามาอีกด้วย นั่นคือการรองรับ Touch ID หรือปุ่ม Home ที่สแกนลายนิ้วมือได้ (เช่นเดียวกับ iPhone 5S และ iPhone 6) อีกทั้งยังรองรับระบบจ่ายเงิน Apple Pay อีกด้วย

กล้องหลังของ iPad Air 2 (iSight) มีความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 8 ล้านพิกเซล (iPad Air 5 ล้านพิกเซล) รูรับแสงขนาด ƒ/2.4 มีโหมดถ่ายภาพรัวต่อเนื่อง และถ่ายวิดีโอแบบสโลว์โมชั่นได้

iPad Air 2 จะมีตัวเครื่องสีใหม่เพิ่มเข้ามา นั่นคือ สีทอง

iPad Air 2 มีทั้งรุ่นที่รองรับ Wi-Fi อย่างเดียว และรุ่น Wi-Fi + Cellular (ใส่ซิมได้)

 

 

iPad mini 3

สำหรับ iPad mini 3 นั้นเรียกว่ารายละเอียดโดยรวมแทบไม่แตกต่างกับ iPad Air 2 เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการรองรับ Touch ID และเพิ่มตัวเครื่องสีทองเข้ามา


iPad mini 3 จะหนากว่า iPad Air 2 อยุ่เล็กน้อย โดยมีความหนาเท่ากับ iPad mini 2 คือ 7.5 มิลลิเมตร

ชิปประมวลผลภายในของ iPad mini 3 ยังคงเป็นชิป A7 เช่นเดียวกับ iPad mini 2 และ iPad Air 1

สรุป สีและรุ่นของ  iPad mini 3

ที่มา – Apple

สรุปว่าทั้ง iPad Air 2 และ iPad mini 3 มีฟีเจอร์และปรับปรุงใหม่อยู่ไม่กี่จุดครับ หลักๆ ก็คือ เพิ่มปุ่ม Touch ID และเพิ่มตัวเครื่องสีทองเข้ามา หากใครกำลังตัดสินใจจะซื้อ แนะนำให้ลองพิจารณารุ่นเก่าอย่าง iPad Air และ iPad mini 2 ดูก่อนครับ เพราะมีสเปคไล่เลี่ยกัน แต่ราคาถูกกว่าพอสมควร >> ดูรายละเอียด

ปิดท้ายด้วยภาพของ iPad 2 และ iPad mini 3 เครื่องจริงจากทาง The Verge ครับ


ส่งต่อเรื่องนี้ให้เพื่อน!