เทียบบริการวินมอไซค์ฯไฮเทค : GrabBike VS UberMOTO , เจ้าไหนดีสุด?

จากความนิยมของสมาร์ทโฟน ทำให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมการบริหารหลายๆ อย่าง แต่ที่จะเห็นได้ชัดและใกล้ตัวเรามากที่สุดเห็นจะเป็นบริการเรียกรถโดยสาร ทั้งหลาย ที่ใน 1-2 ปีมานี้สู้กันดุเดือดมาก เริ่มจากในสมรภูมิของรถนั่งส่วนบุคคลหรือรถแทกซี่ที่ขับเคี่ยวกันอย่างหนัก ระหว่าง GrabTaxi (ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเรียกชื่อแอปให้สั้นๆ ว่า Grab แล้ว) และ Uber

แต่สำหรับในประเทศไทยโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร นับว่าเป็นพื้นที่ที่พิเศษกว่าเมืองไหนๆ ในโลก เพราะยังมีการเดินทางอีกชนิดที่ผู้คนให้ความสนใจอยุ่ไม่น้อย นั่นก็คือ “มอเตอร์ไซค์รับจ้าง” ด้วยความที่มีความคล่องตัวสูง สามารถหลบเลี่ยงภาวะรถติดได้ดี หรือเหมาะกับการโดยสารในระยะไม่ไกลมาก (ไม่คุ้มที่จะเรียกแท็กซี่) ทำให้ปัจจุบันเจ้าตลาดเดิมอย่าง Grab และ Uber ก็ผันตัวมาแข่งขันในสมรภูมิมอเตอร์ไซค์รับจ้างด้วยเช่นกัน

เริ่มจาก Grab ที่เปิดตัว GrabBike มาก่อนใครเพื่อนในประเทศไทย พร้อมบริการเสริมที่สามารถเป็นเมสเซ็นเจอร์สำหรับส่งของได้อีกด้วย โดยปัจจุบัน GrabBike มีพื้นที่ให้บริการแล้วครอบคลุมทั่วทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล ถัดจาก GrabBike เมื่อต้นปีที่ผ่านมา Uber ก็ได้เปิดตัว UberMOTO ซึ่งนับว่าเป็นเปิดตัวบริการเรียกรถมอเตอร์ไซค์ผ่านแอปครั้งแรกในโลกของ Uber เลยทีเดียวแต่ปัจจุบันยังมีเปิดทดลองให้บริการเฉพาะบางพื้นที่อยู่เท่านั้น

แน่นอนว่าเมื่อมีผู้ให้บริการหลายราย ฝ่ายที่ได้ประโยชน์ก็คือเป็นผู้บริโภคอย่างเราๆ ยังจะเห็นได้ชัดจากภายหลังที่มีการเปิดตัว UberMOTO ก็ประกาศลดราคาสู้ทันที ทำให้สมรภูมินี้ดุเดือดขึ้นมาเป็นอย่างมาก

GrabBike VS UberMOTO :

ค่าบริการ

สิ่งแรกที่หลายคนให้ความสำคัญนั่นก็คือราคาหรือค่าบริการในการใช้งาน ดังนี้

  • GrabBike : 10 บาท และคิดค่าโดยสารกิโลเมตรละ 5 บาท
  • UberMOTO : 10 บาท คิดค่าโดยสารกิโลเมตรละ 3.5 บาท แต่มีค่าเวลาในการโดยสาร นาทีละ 0.85 บาท

หากดูแบบเผินๆ แล้ว อาจจะคิดว่า UberMOTO ถูกกว่า แต่จริงๆ UberMOTO มีลูกเล่นในการคิดค่าบริการเพิ่มอีกเป็นในส่วนของเวลาที่ใช้บริการ หากรถติดหรือวิ่งระยะทางไกลที่ใช้เวลามากขึ้น ค่าบริการจะเพิ่มขึ้นไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น เรียกรถจากสยามไปถนนข้าวสาร ระยะทาง 5.5 กิโลเมตร ใช้เวลา 20 นาทีเท่ากัน

  • GrabBike : 10 + (5.5 x 5) = 37.5 บาท
  • UberMOTO : 10 + (5.5 x 3.5) + (0.85 x 20) = 46.25 บาท

โดย Grab ยังมีจุดเด่นอีกอย่างนึงคือจะมีการคำนานค่าบริการคร่าวๆ ให้เราทราบก่อนเพื่อความโปร่งใสด้วยว่าค่าโดยสารจะอยู่ในอัตราประมาณเท่าไร ส่วนของ UberMOTO จะต้องถึงปลายทางก่อนจึงจะคำนวณค่าบริการให้เราทราบ

จำนวนคนขับและพื้นที่รองรับ

สิ่งสำคัญที่ไม่แพ้ราคาคือ เมื่อกดแอปแล้วต้องคอยมาลุ้นว่าพื้นที่นั้นๆ จะมีคนขับมาให้บริการไหม ในประเด็นนี้ GrabBike ค่อนข้างจะได้เปรียบกว่ามาก ด้วยความที่เปิดให้บริการมาก่อน UberMOTO เกือบ 1 ปี มีคนขับมากพอที่จะให้บริการครอบคลุมพื้นที่ทั่วกรุงเทพ และบางพื้นที่ของปริมณฑล ในขณะที่ UberMOTO ยังทดลองให้บริการในพื้นที่ สีลม สยาม และสาทรเท่านั้น

สังเกตง่ายๆ เมื่อลองเข้าหน้าเรียกรถของแต่ละแอป จะเห็นชัดเจนเลยว่าบริการใดมีรถพร้อมให้บริการที่มากกว่ากัน ยิ่งมีรถรอให้บริการเยอะเท่าไร ระยะเวลาในการรอรถยิ่งน้อยลงเท่านั้น เช่น ผมยืนกดเรียก GrabBike บริเวรหน้าเซ็นทรัลพระราม 9 ใช้เวลาประมาณ 2-3 นาทีเท่านั้น

ประกันอุบัติเหตุ

ปัจจุบันอุบัติเหตุบนท้องถนนคร่าชีวิตผู้คน หรือทำให้หลายคนต้องบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก  ดังนั้นการมีประกันอุบัติเหตุจึงเป็นปัจจัยที่ที่จำเป็นเป็นอย่างยิ่ง โดย Grab มีการมอบประกันอุบัติเหตุ (Personal Accident Insurance – PAI) ให้แก่คนขับสูงสุด 300,000บาท และผู้โดยสารสูงสุด 300,000บาท รวมเป็น 600,000 บาทต่อกรณี ส่วน UberMoto ไม่มีประกันภัยให้ทั้งคนขับหรือผู้โดยสาร

บริการส่งพัสดุ

นอกจากจะรับส่งผู้โดยสารแล้ว อีกหนึ่งออปชั่นที่ Grab มีเหนือกว่าคู่แข่งอย่าง UberMoto ด้วยบริการรับส่งพัสดุ และเอกสาร เปรียบเสมือนเป็นเมสเซ็นเจอร์เลยทีเดียว โดยยังมีจุดเด่นตรงที่เมื่อเทียบค่าบริการในการเลือกใช้เมสเซ็นเจอร์ทั่วไปแล้ว การใช้บริการผ่าน Grab ถือว่าถูกกว่ามาก

ประกันสินค้า

ในกรณีที่ใช้บริการฝากส่งพัสดุ Grab มีประกันสินค้าให้สูงสุด 2,000บาท ต่อกรณี ส่วน UberMoto ไม่มีประกันให้

ฟีเจอร์อื่นๆ

ในแง่ของตัวแอป ทั้งของ Grab และ Uber ต้องถือว่าสูสีและดีพอๆ กัน มีระบบติดตามตำแหน่งของคนขับแบบ real time และระบบ แชร์การเดินทางให้เพื่อนหรือญาติได้ทราบด้วย

ตารางเปรียบเทียบการบริการ GrabBike และ UberMOTO

หมายเหตุ: บทความนี้เป็น Advertorial


ส่งต่อเรื่องนี้ให้เพื่อน!